ประวัติความเป็นมา ของจังหวัดลำปาง
ที่มา : สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาตและสิ่งแวดล้อม . แผนที่มรดกทางวัฒนธรรม นครลำปาง ,2549 หน้า 6 -12
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าเรื่องราวประวัิตศาสตร์ มีคนมุ่งเน้นอยู่แล้วอย่างมากมายและหลากหลาย ในที่นี้จึงมุ่งเน้นที่จะอธิบายภาพรวมและความต่อเนื่องของพัฒนาการต่างๆ เป็นสำคัญ โดยการเล่าความ มีลำดับดังนี้
- ลำปางก่อนประวัติศาสตร์
- สมัยหริภุญไชย (พุทธศตวรรษที่ 13)
- สมัยล้านนนา (ราว พ.ศ. 1845 - 2325)
- สมัยเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง (ราว พ.ศ. 2325 - 2417)
- สมัยปฏิรูปหัวเมืองทางเหนือ (พ.ศ.2417 - 2459)
- สมัยการเข้ามาถึงของรถไฟ (พ.ศ. 2459 -2500)
ลำปางก่อนประวัติศาสตร์
มีคนกล่าวไว้ว่า การรู้จักตัวเองนั้น ยิ่งสืบค้นไปได้ไกลเท่าใด ก็ยิ่งจะรู้ถึงความลึกซึ้งของบ้านเมืองได้เท่านั้น เสมือนกับการยิงธนูที่จำเป็นต้องง้างไปให้ไกลฉันใดก็ฉันนั้น ขณะที่หลักฐานทางธรณีวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดีในจังหวัดลำปางนั้น กระจายตัวอยู่เป็นจำนวนมากแทบจะทุกอำเภอ ในที่นี้จึงขอรวบรัดอธิบายภาพรวมของพัฒนาการยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีความโดดเด่นและสำคัญในระดับชาติ แม้ว่าจะเป็นพื้นที่นอกเขตศึกษาก็ตาม ความพยามยามนี้เป็นการปูพื้นฐานให้เห็นความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการประวัติศาสตร์ อันจะส่งต่อความเป็นเมืองศูนย์กลางการบริหารการปกครองที่มีตำแหน่งอยู่อำเภอเมืองลำปาง

ร่องรอยบรรพบุรุษของมนุษยชาติ มนุษย์เกาะคา
พบหลักฐานของมนุษย์ช่วงก่อนประวัติศาสตร์ ได้แก่ มนุษย์โอโมอีเรคตัส หรือ มนุษย์เกาะคาที่มีอายุกว่า 500,000 ปี ร่วมสมัยกับมนุษย์ปักกิ่ง และมนุษย์ชวามีการค้นพบชิ้นส่วนกะโหลกกะลาด้านขวา ฟันหน้าข้าง ฟันด้านขวา และส่วนอื่นๆบริเวณหาดปู่ด้าย ต.นาแส่ง อ.เกาะคา ทางทิศใต้ของตัวเมืองลำปาง ถือเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2541
ผาศักดิ์สิทธิ์กับการตั้งถิ่นฐาน
พัฒนาการต่อมา ปรากฎหลักฐานแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ อายุกว่า 3,000 ปี ที่ประตูผา รอยต่อระหว่าง อ.แม่เมาะ - อ.งาว ขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองปัจจุบัน ซึ่งมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ เครื่องประกอบพิธีศพ
พร้อมกับภาพเขียนสีจำนวนมากถึง 1,872 ภาพที่แสดงถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่และพิธีกรรมไว้ แบ่งเป็น 7 กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผาเลียงผา กลุ่มที่ 2 ผานกยูง กลุ่มที่ 3 ผาวัว กลุ่มที่ 4 ผาเต้นระบำ
กลุ่มที่ 5 ผาหินตั้ง กลุ่มที่ 6 ผานางกางแขน กลุ่มที่ 7 ผาล่าสัตว์และผากระจง (วลัยลักษณ์,2545) อย่างไรก็ตามในบริเวณใกล้เคียงกัน ก็ยังปรากฎภาพเขียนสีในถ้ำต่างๆด้วย เชื่อกันว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญก็คือ
เป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมความเชื่อ ในฐานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ยุคก่อน ประการสำคัญต่อมา ก็คือเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ถูกแต่งแต้มเป็นภาพเขียนสีจำนวนมหาศาลนั่นเอง
จากหลักฐานดังกล่าวจะเห็นถึงสภาพการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคแรกๆที่อยู่รายรอบ นครลำปาง ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นห้วงเวลาที่สั่งสม ความหลากหลายก่อนที่จะมีพัฒนาการทางสังคม วิธีคิด เทคโนโลยี เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา
สมัยหริภุญไชย (ราวพุทธศตวรรษที่ 13)
กำเนิดเมืองบนลุ่มน้ำวัง
การกำเนิดรัฐบริเวณลุ่มน้ำปิงในนามหริภุญไชยนั้น จำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์กับเมืองอันได้แก่ เวียงเถาะ เวียงมะโน ฯลฯ เมืองที่ถือกำเนิดในลุ่มน้ำวังก็ถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายนั้นเช่นกัน แต่มิใช่เกิดขึ้นโดยกลุ่มคนจากหริภุญไชยเท่านั้น มีการเล่าว่าการสร้างเมืองนั้นจำเป็นต้องอาศัยตัวแทนกลุ่มชนดั้งเดิมท้องถิ่นในระยะเวลานั้นได้แก่ พรานเขลางค์ อาศัยอยู่ที่ดอยลุททบรรพต และสุพรหมฤาษีที่อาศัยอยู่บริเวณสุภบรรพต (แสง,2515 : 93) (ในตำนานมูลศาสนาเรียก ดอยเขางาม)
ที่น่าสนใจก็คือ ในโบราณสถานหลายแห่งมีการกล่าวอ้างถึง พระนางจามเทวี ผู้ครองนครหริภุญไชย เช่น วิหารจามเทวี วัดปงยางคก ตำหนักเย็น วัดพระธาตุจอมปิง ฯลฯ ซึ่งเป็นสำนึกการเชื่อมโยงความยาวนาน แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันทางวิชาการอย่างหนักแน่นพอ
การตั้งถิ่นฐาน

ในที่นี้จะกล่าวถึง 3 พื้นที่ อันได้แก่บริเวณวัดพระแก้วชมพู (ปัจจุบันคือวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม) ที่ครอบคลุมบริเวณเมือง ลักษณะคล้ายหอยสังข์ กล่าวกันในตำนานว่าเป็นเมืองสุพรหมฤาษี และพรานเขลางค์ สร้างให้เจ้าอนันตยศโอรสของพระนางจามเทวี ปกครองดูแลต่อไป เมืองตั้งอยู่บนที่ดอนริมแม่น้ำวังมีองค์ประกอบของเมือง ค่อนข้างสมบูรณ์ เมื่อเทียบกับบริเวณอื่น
บริเวณวัดกู่คำ วัดกู่ขาว วัดปันเจิง อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพื้นที่แรกไปไม่ไกล มีทางเดินเชื่อมจากประตูตาล ยังปรากฎร่องรอยมาจนปัจจุบัน บริเวณดังกล่าวมีการขุดค้นหลักฐานทางโบราณคดี คือ พระพิมพ์ดินเผา และเครื่องปั้นดินเผา ทั้งนี้ยังเชื่อมโยงกับแหล่งผลิต คือ แหล่งทุ่งเตาไห ที่บ้านทราย ต.ต้นธงชัย อ.เมือง บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของวัดพระเจดีย์ซาวหลังไปประมาณ 2 กิโลเมตร
บริเวณอำเภอเกาะคา อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพื้นที่วัดพระแก้วไปกว่า 10 กิโลเมตร ล่องไปตามแม่น้ำวัง ปรากฎหลักฐานคือ เครื่องปั้นดินเผา
ชื่อบ้านนามเมือง "เขลางค์นคร" "เมืองลำปาง" "อาลัมพางนคร"

ศาสตราจารย์ แสง มณวิทูร ให้คำอธิบาย เขลางค์นคร ว่ามาจากภาษามอญว่า ฮฺลาง หรือ ขฺลาง แปลว่า ขัน หรือ โอ และตีความว่าพรานเขลางค์ ก็คือ พรานที่อาศัยอยู่ที่ ดอยเขลางค์ ก็คือ ดอยโอคว่ำนั่นเอง (แสง,2515 : 94)
ศาสตราจารย์ สุรพล ดำริห์กุล กล่าวว่า เมืองลำปางก็คือ บริเวณวัดพระธาตุลำปางหลวงนั่นเอง ชื่อของพระธาตุลำปางหลวง ปรากฎในตำนานเรีย "พระมหาธาตุเจ้าลำปาง" หรือ "พระธาตุลำปางหลวง" เมืองลำปางจึงน่าจะเป็นเมืองลำพาง หรือ อาลัมพางนคร ที่พระเจ้าอนันตยศ โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระนางจามเทวี พระราชมารดา ส่วนชื่อลัมภะกัปปะนคร นั้นปรากฎอยู่ในตำนานพระธาตุลำปางหลวง (สุรพล,2547 : 117)(สรัสวดี,2548 : 2)
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกข้อสันนิษฐานจาก อ.สักเสริญ (ศักดิ์) รัตนชัย ว่า เวียงอาลัมพาง น่าจะอยู่บริเวณ 2 บริเวณได้แก่ บริเวณถนนสันโค้งและร่องน้ำโบราณที่เรียกว่า ร่องย่าตอง และบริเวณกลุ่มวัดกู่ขาวร้าง วัดกู่แดงร้าง วัดกู่คำ (สุรพล ,2547 : 122-123)
สมัยล้านนา (ราว พ.ศ.1845 - 2325 ร่วมสมัยกับสุโขทัยต่อเนื่องถึงกรุงธนบุรี)
ชื่อบ้านนามเมือง "เมืองนคร เมืองลคอร เวียงลคอร"

ชื่อเมืองเขลางค์นคร เริ่มถูกตัดให้สั้นเหลือเพียง เมืองนคร ใน พ.ศ.2019 จากหลักฐานศิลาจารึกหลักที่ 65 ที่แสดงให้เห็นว่าใช้เมืองนคร ตั้งแต่สมัยพระเจ้าติโลกราช และคำว่านคร ได้เขียนกลายเป็นลคอร สำเนียงชาวพื้นถิ่นออกเป็นละกอน (สรัสวดี ,2544 : 74)
ขยายเมืองออกไปทางทิศตะวันตก
หลังจากพญามังรายยึดเมืองเขลางค์นครได้แล้ว จึงให้ขุนไชยเสนารั้งเมืองและออกมาสร้างเมืองใหม่ในปี พ.ศ. 1845 ณ บริเวณวัดเชียงภูมิ (ปัจจุบันคือวัดปงสนุก) มีการก่อกำแพงเมืองเพิ่มเติม รวมถึงคูเมือง และประตูเมืองต่างๆ ได้แก่ ประตูปลายนา ประตูนาสร้อย ประตูเชียงใหม่ ประตู่ป่อง แต่อย่างไรก็ตามเมืองใหม่ที่สร้างมากับเมืองเก่าเขลางค์นครนั้น น่าจะยังมีความสัมพันธ์กันต่อเนื่อง แต่ลดระดับความสำคัญลงไปจากเดิมเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เวียงลคอร ได้เป็นสมรภูมิรบระหว่างล้านนากับกรุงศรีอยุธยาหลายคราวได้แก่
- พ.ศ. 1929 พระบรมราชาธิราชที่ 4 ยกทัพมาตี แต่ไม่สำเร็จ
- พ.ศ.2053 - 2058 ล้านนาเปิดศึกรุกกวาดต้อนชาวสุโขทัย เชลียง กำแพงเพชร
- พ.ศ.2058 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ.2034-2072) กษัตริย์อยุธยายกทัพมาตีเวียงลคอรแตก แล้วกวาดต้อนผู้คนกลับไป (สรัสวดี,2544 : 147 และหน้า 202 - 203)

เมืองยุทธศาสตร์ เมืองหน้าด่าน
การเกิดขึ้นของอาณาจักรล้านนานั้น ถือว่าเป็นรัฐที่เติบโตอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และการทหาร ทางเหนือได้แก่พม่า และทางใต้คือสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา เมื่อสุโขทัยถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาทำให้ล้านนาถูกคุกคามมาจากทางใต้มากขึ้น นั่นหมายถึงว่า ในขณะที่ตำแหน่งของหัวเมืองทางใต้มีความหมายและความสำคัญอย่างยิ่ง เวียงลคอร จึงมีฐานะเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่จะต้านทานกองทัพที่มารุกรานเสมอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งทำให้เวียงลคอรมีอำนาจต่อรองพอที่จะได้รับอานิสงส์ความมั่งคั่งด้วย
ประดิษฐานพระแก้วมรกต ณ วัดพระแก้วชมพู

ปรากฎเหตุการณ์อัญเชิญพระแก้วมรกต จากเชียงราย มาเชียงใหม่ ที่กล่าวกันว่า ช้างที่อัญเชิญไม่ยอมไปเชียงใหม่ กลับดึงดันจะเข้าเวียงลคอร จึงทำให้พระแก้วมรกต พระพุทธรูปสำคัญ ประดิษฐาน ณ วัดพระแก้วชมพู (วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ในปัจจุบัน) เป็นเวลาถึง 32 ปี ก่อนจะถูกอัญเชิญไปที่ วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ในเวลาต่อมา (พระแก้วมรกต ตำนานพระแก้วมรกตฯ ,2546)
ล้านนาแตกสลาย
แต่อย่างไรก็ตามด้วยปัญหาภายในล้านนาที่ไม่มีความเป็นเอกภาพแท้จริง ในที่สุดก็สลายลงใน พ.ศ.2101 ซึ่งทัพของพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าใช้เวลาเพียง 3 วัน ก็สามารถยึดเชียงใหม่อย่างง่ายดาย ผู้ปกครองเมืองต่างๆรวมทั้งเวียงลคอร จึงอยู่ภายใต้การควบคุมของพม่า เรื่องมาเป็นเวลากว่า 200 ปีที่อยู่ใต้อิทธิพลความคิดและการอุปถัมภ์จากราชสำนักพม่า (สรัสวดี , 2544 : 208)
หนานทิพย์ช้าง ต้นตระกูลเจ้าเจ็ดตน

ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 23 ปรากฎวีรกรรมของหนานทิพย์ช้างที่สามารถกำจัดท้าวมหายศ เจ้าเมืองลำพูนที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อนได้จนสำเร็จ ดังปรากฎเรื่องเบ่า ณ บริเวณพระธาตุลำปางหลวง หนานทิพย์ช้างได้รับการยอมรับจากชาวเมืองให้เป็นเจ้าเมือง รศ.สรัสวดี อ๋องสกุล กล่าวว่า หนานทิพย์ช้าง ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์พม่าให้เป็น พระยาไชยสงคราม ถือเป็นความชอบธรรมประการหนึ่งในสมัยนั้นที่ยังอยู่ใต้อิทธิพลของพม่า (สรัสวดี,2544 : 261) อย่างไรก็ตามหนานทิพย์ช้าง ยังถูกเรียกในนามอื่นๆ ๆด้แก่ พระยาสุลวฤาไชย (สมโชติ,2546) พ่อเจ้าทิพย์ช้าง (บนจารึกอนุสาวรีย์บริเวณตรงข้ามร้านอาหารเรือนแพ จังหวัดลำปาง)
สมัยเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง (พ.ศ.2325 - 2417 ร่วมสมัยกับกรุงรัตนโกสินทร์)
สร้างบ้านเมืองด้วยการกวาดต้อนไพร่พล
กำลังคนไพร่พลเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงอยู่ของเมือง ๆ หนึ่ง ครั้นล้านนาตกอยู่ในอำนาจของพม่า โครงสร้างของไพร่พลดังกล่าวอ่อนแอลง จนไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในสังกัดได้ดังเดิม เมื่อเจ้ากาวิละ อาศัยความร่วมมือจากทางกรุงธนบุรี - กรุงเทพฯ จนกลับมาตั้งศูนย์อำนาจการเมืองทางเหนือได้สำเร็จ จึงได้ใช้นโยบายเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง จากหัวเมืองต่างๆทางเหนือ เช่น เมืองเชียงตุง เมืองสาด เมืองยอง ฯลฯ
การกวาดต้อนครั้งสำคัญ ก็คือ การตีเมืองเชียงแสนแตก ในปี พ.ศ. 2347 ซึ่งจะเป็นกลุ่มชนที่มีบทบาทสำคัญในเมืองนครลำปางในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลทางศิลปะแบบเชียงแสน หรืออื่นๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวสันนิษฐานว่า ชาวเชียงแสนที่อพยพมามีจำนวนมาก น่าจะทำให้เมืองหนาแน่นจนทำให้ต้องขยับขยายเมืองไปอีกฝั่งหนึ่งของน้ำแม่วัง
การตั้งถิ่นฐาน

อ.สักเสริญ (ศักดิ์) รัตนชัย อ้างถึงตำนานเจ้าเจ็ดตน ฉบับสุวรรณหอคำมงคล ในประวัตินครลำปาง (ศักดิ์,2516 : 67-68) ว่า "..สมัยเจ้าคำโสม ผู้ครองนครลำปางองค์ที่ 2 .. ได้สร้างวิหารวัดหลวงกลางเวียง ก่อองค์เจดีย์และพระพุทธรูปองค์ใหญ่ สร้างพระอุโบสถ สร้างพระวิหารวัดหมื่นกาด วิหารวัดน้ำล้อมวิหารวัดปาดั๊วะในฝั่งเมืองใหม่.. ต่อมาในสมัยเจ้าหอคำดวงทิพย์เป็นพระยานครเมื่อ พ.ศ.2337 ได้สร้างกำแพงและขุดคูเมือง พร้อมทั้งสร้างหอคำขึ้นราว พ.ศ.2351..มีประตูเมืองชื่อต่างๆ คือ ประตูหัวเวียง ประตูศรีเกิด ประตูศรีชุม ประตูสวนดอก และประตูเชียงราย.."
ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำวังนั้นประกอบด้วยชุมชนจากเชียงแสนดังที่กล่าวมาแล้ว ได้แก่ บ้านหัวข่วง บ้านสุชาดาราม บ้านช่างแต้ม บ้านปงสนุก นอกจากนั้นยังมีบ้านพะเยา ที่อยู่บริเวณเดียวกับบ้านปงสนุก ภายหลังได้ย้ายกลับไปตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนที่เมืองพะเยาอีกครั้ง (สุกัญญา ,2539 : 135)
การทำมาหากิน ค้าขาย

การค้าขายระยะไกล จะมีพ่อค้าเร่ พ่อค้าวัวต่างที่เชื่อมโยงระหว่าง ยูนนาน พม่า รัฐฉาน หลวงพระบาง เชียงตุง ซึ่งเป็นพ่อค้าไทใหญ่ พ่อค้าฮ่อ ผ่านมา โดยจะเดินทางมาพักบริเวณศาลาวังทาน (บริเวณวัดป่ารวกและสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดลำปาง) บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง (ชัยวัฒน์,2541 : 31)
ชื่อบ้านนามเมือง "เมืองนครลำปาง"
มีการกล่าวถึงชื่อนครลำปาง ในหลายแห่ง ได้แก่ ตำนานสิบห้าราชวงศ์ ที่เล่าถึง พระยาละครลำปาง (ใน พ.ศ.2332) พงศาวดารเมืองนครเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูนไชย ไว้ว่า พ.ศ. 2357 ในแผ่นดินรัชกาลที่ 2 ได้มีการยกเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูนไชย เป็นเมืองประเทศราช
ปรากฎชื่อ ศรีนครไชย จากตำนานที่เขียนขึ้นในยุคนี้ เพื่อเป็นการถวายเกียรติสดุดีแด่สกุลเจ้าเจ็ดตน (ศักดิ์,2512 : 13)
สมัยปฏิรูปหัวเมืองทางเหนือ (ราว พ.ศ.2417 - 2459 ร่วมสมัยกับ รัชกาลที่ 5-6 แห่งสยามประเทศ)
การเติบโตของระบบทุนนิยม อิทธิพลชาวตะวันตก และสยามประเทศ

ในยุคสมัยนี้เริ่มต้นด้วยการนับตั้งแต่การลงนาม สนธิสัญญาเชียงใหม่ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งจากกิจการป่าไม้ และความวุ่นวายในหัวเมืองชายแดน ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสยาม และรัฐบาลอังกฤษที่อินเดีย ขณะที่อังกฤษก็สามารถตั้งสถานกงสุลประจำนครเชียงใหม่และนครลำปาง เพื่อดูแลผลประโยชน์ของตนและกลุ่มชนในบังคับอังกฤษ ปัญหาการคุกคามจากอาณานิคมตะวันตกดังกล่าว ทำให้รัฐบาลสยาม มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมหัวเมืองต่างๆทั่วราชอาณาจักร เพื่อจะรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางให้มากที่สุด ดังปรากฎการส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯมาควบคุมการบริหารราชการภายในจึงอาจกล่าวได้ว่าในยุคนี้หัวเมืองทางเหนือ ได้รับแรงกดดันอย่างหนักหน่วง แน่นอนว่า กระแสอันเชี่ยวกรากของระบบทุนนิยมที่กำลังเริ่มต้นขึ้น ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบเจ้านายทางเหนือพังทลายลง

เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย
เป็นเจ้าผู้ครองนครลำปางองค์ที่ 10 ที่พานพบการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เป็นผู้บริจาค ผู้สร้างสิ่งสาธารณประโยชน์จำนวนมาก เป็นการดำเนินนโยบายที่สนับสนุนรัฐบาลสยามอย่างยิ่ง อันได้แก่ สร้างโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย โรงทหาร โรงพยาบาลทหาร ที่ทำการไปรษณีย์ หรือการอุทิศที่ดินเพื่อสร้างที่ทำการศาล เรือนจำกลางลำปาง เป็นต้น
การทำมาหากิน ค้าขาย
ดังที่กล่าวมาแล้ว ในยุคนี้การเปิดหน้าประวัติศาสตร์ของระบบทุนนิยม เข้าสู่นครลำปาง กลุ่มแรกๆที่มีโอกาสสะสมทุนก็ได้แก่ กลุ่มทำไม้ ชาวไทใหญ่-พม่า ที่ร่วมกับชาวยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ ดังปรากฎการสร้างบ้านหลังใหญ่โต บริเวณท่ามะโอ หรือการสร้างแบบไทใหญ่ - พม่า บริเวณยานป่าขามจำนวนมาก
อีกกลุ่มคือ ชาวจีน ที่เดินทางมาจากส่วนกลางของสยามประเทศและศูนย์กลางการค้าท่างน้ำ เช่น สวรรคดลก นครสวรรค์ มาประกอบอาชีพค้าขายทางน้ำ โดยเรือหางแมงป่อง ขึ้น - ล่อง ส่งสินค้าระหว่างนครลำปาง กับปากน้ำโพ และอาจไปจนถึงกรุงเทพฯ หรือบางคนสามารถสะสมทุนและได้รับการแต่งตั้งเป็นนายอาการเก็บภาษีในท้องถิ่น
การตั้งถิ่นฐาน

เมืองในยุคนี้จะมีความหลายหลายและซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มก็มีความเชื่อ และโลกทัศน์ที่ต่างกันในการอยู่อาศัย ใช้ชีวิต ได้แ่ก ฝรั่งอังกฤษที่เข้ามาทำไม้ และชาวไทใหญ่ - พม่า ตั้งถิ่นฐานบริเวณท่ามะโอ ที่ใกล้แม่น้ำวัง จนใช้บางแห่งเป็นที่ชักลากซุงขึ้นมา เช่นบริเวณด้านหน้าของวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม (ด้านสระน้ำ)
ขณะที่ชาวจีน ชาวไทใหญ่ - พม่า ก็เลือกทำเลบริเวณตลาดจีน (กาดกองต้า) ที่ใช้พื้นที่ต่ำใกล้น้ำให้เป็นประโยชน์ในการเทียบเรือสินค้า โกดัง ที่อยู่อาศัย และห้างไปในตัว
ย่านวัดไทใหญ่ - พม่า บริเวณป่าขามและใกล้เคียง เป็นบริเวณที่แยกออกมาจากตัวเมือง ขณะเดียวกันก็มีบริเวณม่อนที่ความสูงสอดคล้องกับคติการสร้างวัด
คริสเตียนอเมริกันเพรสไบทีเรียน เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มิได้มีเป้าหมายอยู่ที่การค้าขาย แต่เน้นที่การเผยแพร่ศาสนา ให้การศึกษา และสังคมสงเคราะห์ มีถิ่นฐานอยู่บริเวณบ้านเกาะ ริมแม่น้ำวัง ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นที่ดินพระราชทาน ใกล้กับสถานกงสุลอังกฤษประจำนครลำปาง
สมัยการกำเนิดเส้นทางรถไฟสายเหนือ (พ.ศ.2459 - 2500 ร่วมสมัยกับรัชกาลที่ 6-9 แห่งสยามประเทศ)
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในเงื่อนไขของการคมนาคม

เช่นเดียวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศตะวันตก เมื่อเส้นทางรถไฟตัดผ่านเมืองใด เมืองนั้นก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างรวดเร็ว ในกรณีลำปาง จากเส้นน้ำสู่ทางการค้าทางบกอย่างรถไฟที่มีความรวดเร็ว ปลอดภัย คุ้มค่า
ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการดึงคนเข้าเมือง โดยเฉพาะชาวจีน ที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก พร้อมๆกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทั้งในแง่ของความรู้ การจัดการตลอดไปจนเครื่องจักรต่างๆ ล้วนเติบโตในช่วงนี้เอง
การตั้งถิ่นฐาน
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นชาวจีน ซึ่งตั้งตัวอยู่บริเวณถนนประสานไมตรี ใกล้ย่านสถานีรถไฟ ย่านการค้าซึ่งเป็นส่วนขยายของเมืองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งกลับขยับขยายไปบริเวณย่านตลาดในเมือง ได้แก่ ตลาดบริบูรณ์ปราการ ตลาดราชวงศ์ ซึ่งปรากฎการตั้งถิ่นฐานบน ถนนทิพย์ช้าง ถนนบุญวาทย์ ถนนรอบเวียง
ชื่อบ้านนามเมือง "จังหวัดลำปาง"
ในเวลาใกล้เคียงกัน กระทรวงมหาดไทย ได้มีประกาศให้เปลี่ยนชื่อตำแหน่งเมือง โดยให้ใช้ชื่อ จังหวัดลำปาง แทนคำว่า เมืองนครลำปาง เมื่อ พ.ศ.2459 ในสมัยรัชกาลที่ 6
สงครามโลกครั้งที่ 2

อย่างไรก็ตาม ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ราว พ.ศ. 2485 - 2488) ญี่ปุ่นเข้ามาเพื่อเคลื่อนพลผ่านประเทศไทย และได้ตั้งกองบัญชาการที่ลำปาง เข้าทำการยึดอาคารสถานที่ในกิจการของชาวตะวันตก ทั้งชาวอังกฤษ อเมริกัน และชนชาติอื่นๆ ต่างๆ ก็ทำการลี้ภัยออกไป ขณะที่ประเทศไทยสมัยเป็นคู่สงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร จึงถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีเมือง ด้วยการทิ้งระเบิดในพื้นที่ต่างๆ
อย่างไรก็ตาม หลายครอบครัวในตัวเมือง ได้ทำการย้ายไปอยู่นอกเมืองชั่วคราวเพื่อหลบภัยสงคราม บางร้านในเมืองก็พรางอาคารด้วยยอดมะพร้าว หรือเอาสีดำมาทาตัวตึก ทหารญี่ปุ่นได้ยึดอาคารสำคัญในเมือง โดยเฉพาะอาคารร้านค้าบริเวณกาดกองต้า ตลอดไปจนถึงการยึดเอาข่วงโปโล บริเวณสวนสาธารณะเขลางค์นคร ในปัจจุบันและบริเวณโรงแรมทิพย์ช้าง ตั้งเป็นตึกบัญชาการกองพล 1 ญี่ปุ่น ขณะที่อาคารสถานที่ของกลุ่มชนคู่สงครามอย่างอังกฤษและอเมริกัน เช่น โรงพยาบาลแวนแซนวูร์ด โรงเรียนเคนเน็ตแม็คแคนซี ต่างก็โดนยึดเป็นที่ตั้งกำลังพลทหารญี่ปุ่น แม้แต่วัดน้ำล้อม ก็มีการเล่าว่ามีทหารรถถังของญี่ปุ่นมาขอพักที่วัด
การทำมาหากิน ค้าขาย

ย่านสถานีรถไฟ กลายเป็นศูนย์กลางขนส่ง และแหล่งการค้าสำคัญซึ่งมีกิจการที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ โรงสี โรงเลื่อย โกดังเก็บผลผลิตทางการเกษตร ทั้งยังเป็นเส้นทางผ่านไปยัง พะเยา เชียงราย
ควบคู่ไปด้วยกันนั้น แหล่งบันเทิง ย่านกินเที่ยว ก็ตามมา ทั้งโรงฝิ่นบนถนนประสานไมตรี และข้างสถานีตำรวจสบตุ๋ยในปัจจุบันหรือย่านเที่ยวบนถนนบุญวาทย์ที่มีทั้งซ่อง โรงฝิ่น โรงภาพยนตร์ โรงแรม ร้านอาหาร