วัดศรีหลวงแจ้ซ้อน
วัดศรีหลวงแจ้ซ้อนเดิมมีเพียงองค์เจดีย์ร้างบริเวณโดยรอบเป็นป่า ต่อมาครูบาเจ้าวชิระปัญญาได้ธุดงค์ปักกรดในบริเวณนี้ จึงคิดพัฒนาให้กลับคืนเป็นวัด ดังนั้นครูบาเจ้าวชิระปัญญา พร้อมกับเจ้าแสนเมืองลือโลก และคณะศรัทธาชาวบ้านได้เดินทางมาขออนุญาตเจ้าหลวงเมืองลำปางเพื่อสร้างวิหาร โดยมีครูบาอสิงวิตั๊ก วัดพระยืน จังหวัดลำพูน เป็นผู้ออกแบบ และครูบายาวิชัย วัดบ้านถ้ำ อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง เป็นช่างผู้ควบคุมการก่อสร้าง ซึ่งได้เริ่มทำการก่อสร้างในวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เหนือ จุลศักราช 1219 (พ.ศ. 2400) และเรียกชื่อว่า วัดป่าไผ่ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดศรีหลวงแจ้ซ้อน
พื้นที่บริเวณภายในวัดมีออกแบบแผนผังการสร้างศาสนสถานที่สวยงาม สร้างวิหาร และเจดีย์ ไว้บนเนินดินที่สูงกว่าพื้นที่ปกติ ซึ่งทำให้ตัววิหารและเจดีย์มีความโดดเด่น ดึงดูดสายตาผู้ผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี
วิหาร มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ตัววิหารตั้งในแนวทิศตะวันออก-ตก โครงสร้างของหลังคาสันนิษฐานว่าแต่เดิมมีลักษณะหน้า 3 หลัง 2 คือ การซ้อนชั้นของหลังคาด้านหน้าซ้อนลดหลั่นกัน 3 ชั้น และด้านหลัง 2 ชั้น และผืนหลังคาช้อนลาดเอียงลงด้านข้าง 2 ตับ ต่อมามีการสร้างมุขหลังคาเสริมออกไปข้างหน้าวิหาร เพื่อคลุมบันไดไม่ให้ถูกแดด – ฝน
ภายในวิหารประดิษฐานพระประธานองค์ใหญ่ พุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยปูนปั้นลงรักปิดทอง เหนือองค์พระพุทธรูปมีดาวเพดานแกะเป็นรูปดอกบัวลงรักปิดทอง วางในช่องแก้ว จำนวน 42 ช่อง นอกจากนี้มีการตกแต่งเสา ขื่อม้าต่างไหม ด้วยลายคำอันเป็นเทคนิคที่นิยมของช่างชาวล้านนาสำหรับการตกแต่งวิหาร
วัดศรีหลวงแจ้ซ้อนได้รับการบูรณะครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2509 โดยชาวบ้านได้ช่วยกันรื้อหลังคาแป้นเกล็ดแล้วเปลี่ยนเป็นกระเบื้องคอนกรีต เปลี่ยนรูปแบบผนังวิหารใหม่ จากผนังที่มีช่องลูกติ่ง ให้เป็นผนังทึบแต่มีช่องแสงและลมผ่าน และครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2515 โดยฤๅษีตนกินหมากเป็นผู้นำร่วมกับชาวบ้าน ต่อมาปี พ.ศ. 2527-2528 มีการบูรณะพระเจดีย์ โดยการตัดและถอนเอาต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บนองค์เจดีย์ออก แล้วโบกปูนซ่อมแซมให้มีความสมบูรณ์และสวยงาม จากนั้นในปี พ.ศ. 2553 กรมศิลปากรได้ทำการบูรณะครั้งใหญ่ทั้งวิหารและพระเจดีย์ โดยงบประมาณสนับสนุนจากกรมศิลปากร
เมื่อปี พ.ศ. 2543 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดศรีหลวงแจ้ซ้อน เป็นโบราณสถาน ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 117 ตอนพิเศษ 103 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2543 โดยเป็นโบราณสถานลำดับที่ 15 มีเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 33.01 ตารางวา
รูปภาพประกอบ
เอกสารแนบ : Download
ข้อมูล : สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง


