วัดไหล่หิน
วัดไหล่หิน หรือวัดไหล่หินแก้วช้างยืน หรือวัดเสลารัตนปัพพะตาราม เป็นวัดโบราณที่ตั้งอยู่บนเนินดินในหมู่บ้านไหล่หิน สันนิษฐานสร้างในสมัยครูบามหาป่าเกสระปัญโญ โดยมีเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงเป็นผู้อุปถัมภ์ ส่วนประวัติของครูบามหาป่าเกสระปัญโญ ท่านมาบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดนี้ และมีความทรงจำที่แตกฉานในคัมภีร์และมีความรู้เรื่องช่างอยู่บ้าง มีเรื่องเล่าสมัยที่ท่านบวชเป็นเณรนั้นว่า ในช่วงเดือนยี่เป็งมักจะมีประเพณี ตั้งธรรมหลวง ท่านสมภารได้แจกคัมภีร์ให้เณรทุกๆ รูป เณรต่างก็นำไปท่องและเรียนกันถ้วนหน้า แต่สามเณรเกสระไม่ได้ทำเช่นนั้นเหมือนสามเณรรูปอื่นๆ ไม่ได้สนใจที่จะอ่านธรรมเลย เมื่อถึงเวลาเทศน์ สามเณรเกสระก็เปิดคัมภีร์ตามพิธีแล้วก็วางคัมภีร์ไว้บนธรรมาสน์แล้วเทศน์ปากเปล่าโดยไม่ดูคัมภีร์ ซึ่งนอกจากเทศน์ได้ถูกต้องแล้ว ยังแก้ไขข้อความผิดในคัมภีร์อีกด้วย
นอกจากจะมีความแตกฉานในคัมภีร์แล้ว ครูบามหาป่าเกสระยังชอบภิกขาจารไปในที่ไกลๆ เป็นระยะเวลานานๆ เสมอมีครั้งหนึ่งไปถึงเมืองเชียงตุง เมื่อท่านไปบิณฑบาตบ่อยๆ ก็ยังความศรัทธาเลื่อมใสให้เกิดแก่ชาวบ้านละแวกนั้น ซึ่งชาวบ้านเหล่านั้นก็สังเกตเห็นว่าท่านมิใช่พระในท้องถิ่นนั้น แต่ได้มาบิณฑบาตถึงที่นั่น ก็เกิดความเลื่อมใสใคร่รู้ที่มาของท่าน จึงพากันไปถาม แต่แทนที่ท่านครูบามหาป่าเกสระจะตอบตามตรง ท่านกลับตอบว่ามาจากวัด บุบบ่แตก หรือ ขบบ่แตก ชาวบ้านซึ่งเป็นชาวไทใหญ่เหล่านั้นนึกปริศนาไม่ออกก็จนปัญญาที่จะทราบว่าท่านมาจากที่แห่งใด เรื่องทราบถึงเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง เจ้าฟ้าจึงออกความคิดให้เอามะพร้าวปอกเปลือกออกเหลือแต่ลูกกะลา แล้วผ่าออกเป็นสองซีก ให้เอาซึกหนึ่งใส่บาตรให้ท่านครูบามหาป่า พลางพูดว่าจะตามไปหาท่านที่วัด ส่วนอีกซึกหนึ่งนั้นเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงเก็บไว้ แล้วให้กลุ่มชาวไทใหญ่ออกติดตามหาท่านมาเรื่อยๆ จากเชียงตุงถึงนครลำปาง ในที่สุดก็มาพบท่านและได้เอากะลามะพร้าวอีกซีกหนึ่งมาต่อกันได้ที่วัดไหล่หินแห่งนี้ ขณะนั้นท่านครูบามหาป่าเกสระยังอยู่ที่กุฏิเดิม ลำบากและขาดแคลนหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่มีทั้งวิหารและเสนาสนะ ชาวไทใหญ่กลุ่มนั้นจึงกลับไปนำช่างชาวไทใหญ่ที่มีฝีมือดี และร่วมกับชาวบ้านแถบนั้นช่วยกันสร้างวิหารวัดไหล่หินขึ้นมา
นอกจากนี้ครูบามหาป่ายังถือว่าเป็นบรมครูทางด้านคัมภีร์ของพระภิกษุสงฆ์ในเขตอำเภอเกาะคา อำเภอแม่ทะ อำเภอห้างฉัตร อำเภอเมือง ซึ่งปรากฏในคำกล่าวยอครูจากเอกสารโบราณที่มักจะกล่าวอ้างถึงการเป็นลูกศิษย์สายครูบามหาป่าเกสรปัญโญ
กรมศิลปากรได้ประกาศวัดไหล่หินขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน โดยกำหนดขอบเขตในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 97 ตอนที่ 195 ลงวันที่ 14 ตุลาคม พ .ศ .2523 สิ่งที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน คือ วิหารทรงล้านนา พระธาตุเจดีย์ พระอุโบสถ ซุ้มประตูกำแพงแก้ว และหอธรรม นอกจากนี้ในปี 2550 ยังได้ขึ้นเป็นอาคารอนุรักษ์จากสมาคมสถาปนิกสยาม
สิ่งที่น่าสนใจ
วิหาร สร้างโดยช่างชาวเชียงตุง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2226 ตามคำจารึกที่ปรากฏบนขื่อไม้หน้าพระประธานในวิหาร กล่าวถึงปีที่สร้างวิหารวัดไหล่หินว่า จ.ศ.1045 (พ.ศ.2226) ตัว ปลีก่าไก๊ เดือนสี่เป็ง เม็งไทเต่าสง้า พระมหาเกสระปัญโญเจ้า เป็นประธานร่วมกับศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ได้อัญเชิญพระสงฆ์เจ้าปลูกสร้างยังเสลารัตบัพพตารามหลังนี้ ร่วมด้วยศรัทธาทั้งหลายทั้งมวลทุกคน ขออนุโมทนาแล มีขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 9 เมตร มีลวดลายหน้าบันที่งามที่สุดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ สร้างขึ้นโดยครูบามหาป่าเกสระปัญโญและเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงเป็นประธาน
แผนผังของวัดประกอบด้วยลานหน้าวัด หรือ ข่วง วิหารโถง ศาลาบาตร ลานทราย และเจดีย์ แบบล้านนาซึ่งเชื่อว่าบรรจุพระบรมธาตุ มีรูปแบบจำลองภูมิจักรวาล คือวิหารเปรียบเสมือนชมพูทวีป เจดีย์เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุ และลานทรายเปรียบเสมือนมหานทีสีทันดร
ส่วนพุทธาวาสก่อสร้างอย่างสวยงาม และมีขนาดส่วนที่ค่อนข้างเล็กกะทัดรัด อาคารต่าง ๆ ก่อสร้างด้วยอิฐฉาบปูน ประดับปูนปั้น ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว วิหารมีลักษณะอ่อนช้อย คือหลังคาจะมีลักษณะแอ่นโค้งเพียงเล็กน้อย เรียกวิหารแบบนี้ว่า ฮ้างปู้ (คือการเปรียบเทียบความสวยงามของวิหารที่แฝงความสง่า มั่นคง คล้ายกับร่างกายของผู้ชาย) เป็นวิหารโถง หลังคาซ้อน 3 ชั้น 2 ตับ มุง กระเบื้องดินเผาปลายตัด ที่น่าสนใจคือ เครื่องลำยองของวิหารนี้มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการบูรณปฏิสังขรณ์ ทำให้มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เป็นแบบไทยภาคกลาง
ซุ้มประตูโขง มีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดพระธาตุลำปางหลวง แต่มีการประดับตกแต่งที่แตกต่างกันบ้าง คือมีการใช้ตุ๊กตาดินเผาประดับ นอกจากเสนาสนะและบริเวณที่ทางวัดได้อนุรักษ์และดูแลเป็นอย่างดี ยังมีคัมภีร์โบราณและโบราณวัตถุที่ทางวัดได้เก็บรักษาไว้เป็นจำนวนมาก บางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตำนานของวัดเช่น กะลามะพร้าว และบาตรของครูบามหาป่าเกสระปัญโญ
พระธาตุเจดีย์ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงล้านนา มีขนาดฐานกว้าง 5 เมตร สูงประมาณ 10 เมตร ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จากตำนานมีเรื่องเล่าว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไห้แก่พระกุมารกัสสปะเถระ และพระเมฆิยเถระ พระอรหันต์ทั้ง 2 รูป ได้นำพระบรมสารีริกธาตุบรรทุกบนหลังช้างเพื่อนำไปบรรจุที่องค์พระธาตุลำปางหลวง แต่เมื่อช้างมาถึงตรงเนินเขาไหล่หินช้างไม่ยอมเดินต่อ พระอรหันต์ทั้ง 2 รูป จึงให้สร้างเจดีย์ขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สูง 5 ศอก ไว้เป็นอนุสรณ์
พระอุโบสถ สร้างในปี พ.ศ. 2420 โดยพระอุตตมะอารามธิบดีและเจ้าหลวงบุญวาทย์วงษ์มานิตย์ มีขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 5 เมตร รูปแบบการสร้างมีความเรียบง่าย เปิดผนังโล่ง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประธานและพระอัครสาวกซ้าย-ขวา หน้าบันมีการตกแต่งด้วยการแกะสลักเป็นลวดลายเครือก้านใบ ประดับกระจกจืนอย่างสวยงาม
หอธรรม หรือหอไตร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2231 โดยพระอุตตมะ พญาเลิศ พญาแสนค้า และหนานวงศ์ เป็นประธานในการก่อสร้าง หอธรรมแห่งนี้ได้เก็บรวบรวมคัมภีร์ใบลานของวัดไหล่หินไว้เป็นจำนวนมาก และมีคัมภีร์ใบลานที่เก่าแก่ที่สุดในล้านนามีอายุประมาณ 500 กว่าปี
รูปภาพประกอบ
เอกสารแนบ : Download
ข้อมูล : สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง