วัดเวียง
ประวัติวัดเวียงมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การก่อตั้งเมืองเถิน วัดเวียงถือว่าเป็นวัดหลวงกลางเมืองที่เจ้าเมืองอุปถัมภ์ดูแล มีตำนานกล่าวถึงการบรรจุ พระธาตุเล็บมือ ของพระพุทธเจ้าในพระเจดีย์ และการบูรณปฏิสังขรณ์วัดโดยครูบาอาทิตย์ ให้เป็นศาสนสถานศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองเถินในอดีต
ในปี พ.ศ. 1157 เจ้าดาวแก้วไข่ฟ้า ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเถินสมัยนั้นได้สร้างวิหารอุโบสถขึ้น โดยมีนางจำปาเทวี หรือนางจามเทวี พระสหายของเจ้าเมืองได้ช่วยกันก่อสร้าง พระยาเจ้าเมืองมีมเหสีชื่อ พระนางนารา และมีนางป้อม นางเป็งเป็นบริวาร ตามตำนานเล่าว่า พระนางจามเทวี ได้ปลูกต้นขนุนขึ้นเพื่อเป็นหลักเมืองเรียกว่า ขนุนนางจามเทวี ต้นขนุนจามเทวีมี 3 ต้น คือ ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ 1 ต้น วัดพระธาตุลำปางหลวง 1 ต้น และวัดเวียง 1 ต้น ส่วนนางเป็งนั้นได้สร้างบ้านเรือนอยู่ทางทิศตะวันตกของวัด เวียง หรือเรียกว่าหนองสาง และนางป้อมก็สร้างบ้านเรือนอยู่ที่หนองผ้าอ้อม ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของวัดเช่นเดียวกัน ทั้งหมดได้ช่วยกันสร้างวัดเวียงและปลูกต้นไม้ไว้มากมายในยุคนั้น มีต้นโพธิ์ ต้นจำปาแดง ฯลฯ พระยาดาวไข่ฟ้า ได้สร้างวิหารไว้แต่ไม่ใหญ่โตนักเหมือนปัจจุบัน ส่วนนางจามเทวีหลังจากได้บูรณะพระธาตุแล้ว ก็เดินทางกลับไปเมืองหริภุญชัย
ต่อมาแม่น้ำวังได้เซาะฝั่งเข้ามาใกล้ตัวเมือง(วัดเวียงในปัจจุบัน) อยู่ในเขตอันตราย เพราะแม่น้ำได้เซาะฝั่งเข้ามาถึงโรงเรียนบ้านเวียงปัจจุบันนี้ ผู้คนได้อพยพไปอยู่หนองสางและหนองผ้าอ้อม หรือเมืองของนางป้อม นางเป็ง นางทั้งสองจึงได้มาตั้งจิตอธิฐานต่อองค์พระธาตุเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอให้แม่น้ำวังเปลี่ยนทิศไปทางทิศตะวันออก เมื่ออธิฐานเสร็จแล้วอีกไม่นานแม่น้ำวังก็เปลี่ยนทิศทางไปทางทิศตะวันออก ทำให้บริเวณกลางเมืองหรือวัดเวียงปลอดภัย ผู้คนจึงอพยพมาบูรณะบ้านเมืองเช่นเดิม หลังจากนั้นมาพม่าได้อพยพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนืออีก พระนางนารา และนางป้อม,นางเป็ง จึงหลบหนีสาบสูญไป และตามตำนานเล่าว่าพม่าได้บูรณะวัดเวียงอีกครั้งหนึ่ง และได้เกณฑ์ไทยวนมาเป็นช่างสร้างวิหารให้ใหญ่กว่าเดิม รวมทั้งอุโบสถและซุ้มประตูโขงจนเสร็จสมบูรณ์
ครั้นที่กรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ยกทัพมาตีพม่าจนถอยกลับไป และยึดอาณาจักรล้านนาคืนมาจนหมด เมื่อพม่าแตกทัพแล้ว สมเด็จพระนเรศวรก็ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา วัดเวียงจึงเป็นวัดร้างอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้บูรณะซ่อมแซมวัดวาอารามทั่วประเทศ ประชาชนก็เริ่มเข้ามาอาศัยอยู่และทำมาหากินในละแวกนี้ต่อไป ทิศตะวันตกของวัดเวียงคือบ้านเก่าของนางป้อม นางเป็ง ก็มีวัดอยู่วัดหนึ่งชื่อ วัดแพะหนองสาง มีหลวงปู่แสนคำเป็นเจ้าอาวาส หลวงปู่แสนคำก็ได้มาบูรณะซ่อมแซมและย้ายมาประจำอยู่ที่วัดวียงแห่งนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลังจากหลวงปู่แสนคำ และพระสงฆ์ได้ช่วยกันบูรณะวัดเวียงแล้ว ก็ได้พบกับสิ่งปฏิหารย์ในวัดคือ มีเสาวิหารต้นหนึ่งมีนางไม้ออกไปเล่นน้ำที่หนองท่วม ซึ่งห่างจากวัดประมาณ 2 กิโลเมตร ตอนเช้าจะมีจอกแหนติดอยู่ปลายเสา มีสาหร่ายหรือแม้แต่หอยยังติดมาด้วย หลวงปู่แสนคำจึงใช้เวทย์มนต์คาถาสะกดเสาต้นนี้และเอาโซ่เหล็กมาผูกไว้ที่โคนเสา จากนั้นก็มีผึ้งมาทำรังในโพรงเสาและมีหมีมาควักกินน้ำผึ้ง (เพราะบริเวณวัดเวียงในสมัยนั้นยังติดกับป่าอยู่ ไม่เจริญเหมือนเช่นปัจจุบันนี้) เมื่อหมีมาควักกินน้ำผึ้งก็ทำให้เสาแตก หลวงปู่แสนคำจึงสั่งให้ช่วยกันเอาเสานั้นออก แล้วก่ออิฐฉาบปูนขึ้นแทนเสาต้นเดิม จนเห็นเช่นทุกวันนี้ นอกจากนั้นยังมีต้นขนุนนางจามเทวี ซึ่งจะมีผลทุกปี ปีใดฟ้าฝนตกดีก็จะมีผลดกมากแม้แต่รากก็ยังมีผล ทราบว่ารากมีผลก็เพราะข้างๆต้นขนุนจะมีบ่อน้ำอยู่ รากของขนุนโผล่เข้าไปในบ่อน้ำและมีผลให้เห็นชัดเจน ผู้คนทั้งหลายต่างนับถือต้นขนุนต้นนี้มากเพราะถือว่าเป็นขนุนศักดิ์สิทธิ์ บางรายก็ไปสังเกตเลขข้างตามความเชื่อ บางรายก็แอบไปดูโชคชะตา
ใน พ.ศ. 2500 คณะศรัทธาวัดเวียงได้พร้อมใจกันบูรณะพระธาตุวัดเวียง โดยพร้อมใจกันอันเชิญลูกแก้วบนยอดพระธาตุลงมาเพื่อปฏิสังขรณ์ และทำให้ชาวอำเภอเถินได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุเจ้า โดยเรื่องมีอยู่ว่า พ่อแก้ว นอศรี หัวหน้าช่าง ผู้ขึ้นไปอัญเชิญลูกแก้วลงมาได้เกิดอาการผิดปกติในร่างกาย คือเมื่อลงมาถึงพื้นก็มีเลือดออกมาจากปาก จมูก และรูหู คณะกรรมการและญาติพี่น้องจึงได้ไปตามหมอมาดูอาการ หมอเวิทร์ สุวรรณ ซึ่งเป็นหมอที่มีชื่อเสียงขณะนั้นมาดูอาการแล้วบอกว่า ช่วยไม่ได้ ก็คือ พ่อแก้วต้องตายนั้นเอง จากนั้นพ่อแก้วก็พูดออกมาเป็นภาษาพม่าไม่มีใครฟังออก จึงไปเชิญ หม่องแป่น เป็นชาวพม่าอาศัยอยู่ใกล้วัดเวียงมาช่วยแปล จึงได้ใจความว่าเป็นวิญญาณของชาวพม่าที่คอยปกป้องรักษาพระธาตุนี้ ไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้องลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์นี้ เมื่อหม่องแป่นได้เจรจาแล้วก็ให้ขอขมา เมื่อทำพิธีขอขมาแล้ว อาการพ่อแก้วก็ดีขึ้น
เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของลูกแก้วบนยอดพระธาตุวัดเวียงนี้ ยังมีผู้พบเห็นพระแก้วลอยออกจากพระธาตุหลายครั้ง เชื่อกันว่า วัดเวียง วัดอุมลอง และ วัดดอยป่าตาลนั้น ลอยไปหากันในวันโกน วันพระ โดยจะเห็นลูกแก้วอยู่บนท้องฟ้ามีแสงสว่างสีเขียวนวล และเมื่อมีคนชี้จะทักว่า ลูกแก้วยอดพระธาตุวัดเวียงไปเที่ยวหาลูกแก้วบนยอดพระธาตุวัดดอยป่าตาล ลูกแก้วก็ดับวูบหายไปไม่เห็นอีกจนกว่าจะปรากฏให้เห็นอีกครั้งต่อไปเท่านั้น มีหลายคนพบเห็นเช่นนี้อยู่เสมอ คณะศรัทธาวัดเวียงได้บูรณปฏิสังขรณ์หลังคาวิหารในปีพ.ศ.2518 –พ.ศ. 2519 ได้ทำการรื้อพระอุโบสถหลังเก่า แล้วสร้างใหม่ในที่เดิม รวมทั้งได้สร้างศาลาการเปรียญขึ้นอีกหลังหนึ่งในทางทิศใต้ เมื่อ พ.ศ. 2534 ทางวัดได้ขออนุญาตไปยังกรมศาสนาเพื่อซ่อมแซมภาพจิตรกรรมฝาผนังวิหาร ซึ่งเป็นลายรดน้ำและขออนุรักษ์ลวดลายคงเดิมไว้ก็ได้รับอนุญาตให้บูรณะได้ จึงได้ลงมือบูรณะซ่อมแซม โดยช่างเขียนลวดลายจากเชียงใหม่ ต่อมากรมศิลปกรมาพบเข้าก็จึงบอกว่าไม่สมควรทำการบูรณะ เพราะเห็นว่าควรอนุรักษ์ของเก่าไว้ เสนาสนะภายในวัดเวียง ประกอบด้วยวิหาร เจดีย์ และซุ้มประตูโขงมีลักษณะรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลมาจากประตูโขงวัดพระธาตุลำปางหลวง วิหารมีลักษณะเป็นวิหารโล่งรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในวิหารมีซุ้มพระพุทธรูปมีลักษณะคล้ายประตูโขง เป็นที่ประดิษฐ์สถานของพระประธาน มีการประดับตกแต่งลวดลายมีรายละเอียดที่สวยงาม วิหารวัดเวียงเป็นวิหารตัวอย่างดั้งเดิม มีเสาวิหารหลักแปดต้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณคนโอบ มีการเขียนลายลักษณ์สีทองบนพื้นแดง เป็นรูปกินรีและรูปสิงห์ลวดลายล้านนา
รูปภาพประกอบ
เอกสารแนบ : Download
ข้อมูล : สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง